

ปัญหากองทุนคอนโดใกล้หมดเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับลูกบ้านหลายคน เพราะเงินกองทุนหรือ sinking fund คือเงินก้อนสำคัญสำหรับดูแลอาคารในระยะยาว เช่น ซ่อมบำรุงลิฟต์ ทาสี หรือปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค เมื่อเงินส่วนนี้เหลือน้อย ย่อมทำให้เกิดคำถามว่าใครจะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย และลูกบ้านอาจต้องจ่ายเงินเพิ่มแบบไม่ทันตั้งตัว
บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า เงินกองทุนนิติบุคคลอาคารชุดคืออะไร ต่างจากค่าส่วนกลางอย่างไร ไปจนถึงเหตุผลที่ทำไมเงินทุนสำรองถึงมีความสำคัญต่อการอยู่อาศัยของทุกคน พร้อมแนวทางที่ลูกบ้านและนิติบุคคลควรทำเพื่อบริหารจัดการเงินกองทุนให้เพียงพอและยั่งยืน


เงินกองทุน (Sinking Fund) คือ เงินทุนสำรอง ที่เจ้าของร่วมทุกยูนิตในโครงการคอนโดหรืออาคารชุดต้องจ่ายให้กับนิติบุคคลอาคารชุด เพื่อเก็บไว้ใช้ในกรณีที่ต้องมีการซ่อมแซมครั้งใหญ่ หรือปรับปรุงส่วนกลางที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยไม่อาจใช้จ่ายจากค่าส่วนกลางปกติได้ เช่น
กองทุนสำรองจะต่างจากค่าส่วนกลางตรงที่ค่าส่วนกลางคือเงินที่จ่ายเป็นประจำเพื่อดูแลและบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลางในแต่ละวัน ส่วนกองทุนสำรองจะจ่ายเพียงครั้งแรกเมื่อซื้อห้องใหม่ และเงินนี้จะไม่ได้คืนเมื่อขายห้อง เพราะเป็นกองทุนรวมที่ผู้ซื้อผู้ขายใหม่ไม่ต้องจ่ายซ้ำ หากเจ้าของเดิมได้จ่ายไปแล้ว


หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมคอนโดมิเนียมจึงมีการเก็บเงินกองทุน (Sinking Fund) เป็นเรื่องปกติ แต่หมู่บ้านจัดสรรกลับไม่ค่อยพูดถึงเงินกองทุนแบบเดียวกัน เหตุผลหลักมาจากข้อกฎหมายที่แตกต่างกันระหว่างสองรูปแบบอสังหาริมทรัพย์
สำหรับคอนโด กฎหมายบังคับให้ต้องมีเงินกองทุน ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 40 ที่กำหนดให้เจ้าของร่วมต้องชำระเงินกองทุนเมื่อเริ่มต้นโครงการ เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำรอง ในการซ่อมแซมและบำรุงรักษาส่วนกลางในระยะยาว ดังนั้นทุกโครงการคอนโดจึงต้องจัดตั้งเงินกองทุนตั้งแต่แรก และอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของนิติบุคคลอาคารชุด
ในทางกลับกัน หมู่บ้านจัดสรรไม่ได้มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเงินกองทุนเหมือนคอนโด โดยทั่วไปจะเก็บเพียงค่าส่วนกลางสำหรับดูแลถนน ระบบไฟฟ้า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางในแต่ละเดือน อย่างไรก็ตาม หมู่บ้านสามารถจัดตั้งเงินกองทุนได้ หากลูกบ้านและนิติบุคคลหมู่บ้านเห็นชอบร่วมกันในการประชุมใหญ่ วิธีนี้จะช่วยสร้างความมั่นคงด้านการเงินสำหรับกรณีซ่อมแซมใหญ่คล้ายกับคอนโด แต่ขึ้นอยู่กับความสมัครใจและการตกลงของลูกบ้านแต่ละโครงการ


โดยทั่วไปจะคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาขายหรือเป็นจำนวนเงินคงที่ต่อตารางเมตร ซึ่งอัตราปกติจะอยู่ที่ 500-800 บาทต่อตารางเมตร แต่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละโครงการ
ตัวอย่างเช่น ถ้าห้องมีขนาด 50 ตร.ม. และอัตราเงินกองทุนคือ 600 บาทต่อตารางเมตร เงินที่ต้องจ่ายคือ
50 × 600 = 30,000 บาท
นอกจากนี้ยังมีเกณฑ์กำหนดว่าเงินกองทุนรวมของทั้งโครงการควรมีอย่างน้อย 10 เท่าของค่าใช้จ่ายส่วนกลางรายเดือน เช่น หากค่าส่วนกลางของทั้งโครงการคือเดือนละ 2 ล้านบาท กองทุนสำรองขั้นต่ำควรมี 20 ล้านบาท เพื่อรองรับการซ่อมบำรุงใหญ่ในอนาคต
เงินกองทุนที่เก็บมาจะถูกบริหารโดยนิติบุคคลอาคารชุด โดยเก็บไว้ในบัญชีธนาคารแยกจากค่าส่วนกลาง และบางโครงการอาจนำไปฝากหรือลงทุนเพื่อให้เกิดดอกผล นำกลับมาเสริมสภาพคล่องของอาคารได้ตามความเหมาะสม


เงินกองทุนมีความสำคัญกับคอนโดเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำหน้าที่เป็นเหมือนเงินเก็บฉุกเฉินสำหรับอาคารในระยะยาว โดยสามารถสรุปความสำคัญเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
1. ครอบคลุมค่าซ่อมแซมใหญ่คอนโดมิเนียมมีอายุการใช้งาน เมื่อเวลาผ่านไปอุปกรณ์และโครงสร้างหลัก เช่น ลิฟต์, ปั๊มน้ำ, ระบบดับเพลิง, หรือแม้แต่ตัวอาคารเองจะต้องได้รับการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล
2. รักษามูลค่าของทรัพย์สินการมีเงินกองทุนที่เพียงพอจะช่วยให้คอนโดอยู่ในสภาพดีและน่าอยู่เสมอ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย แต่ยังช่วยรักษามูลค่าของห้องชุดไม่ให้ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
3. สร้างความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตการมีเงินกองทุนนิติบุคคลอาคารชุด คือ การรับประกันว่าระบบสาธารณูปโภคในโครงการ เช่น ระบบไฟฟ้า ประปา หรืออุปกรณ์รักษาความปลอดภัยอย่างกล้องอ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ LPR จะได้รับการดูแลตามมาตรฐานเสมอ สิ่งนี้ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกมั่นใจและปลอดภัยในระยะยาว
4. สร้างความโปร่งใสและการบริหารจัดการที่ดีเงินกองทุนเป็นสัญลักษณ์ของการบริหารจัดการที่โปร่งใสและมีการวางแผนระยะยาว การที่นิติบุคคลเก็บและใช้เงินกองทุนอย่างเหมาะสม เป็นตัวสะท้อนว่าโครงการใส่ใจคุณภาพชีวิตของลูกบ้าน ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
กล่าวโดยสรุปก็คือเงินกองทุนเป็นทั้งเงินสำรอง และหลักประกันความมั่นคงของคอนโด ทั้งด้านมูลค่า ความปลอดภัย และคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย หากขาดการดูแลหรือใช้ไปจนหมด ผลกระทบที่ตามมาอาจรุนแรงกว่าที่หลายคนคาดคิด ต่อไปเราจะไปดูกันว่าเมื่อเงินกองทุนหมดจริง ๆ แล้วจะสามารถแก้ไขสถานการณ์อย่างไรได้บ้าง
เมื่อเงินกองทุนหมดหรือเหลือน้อยจนไม่พอรองรับค่าใช้จ่ายใหญ่ สิ่งสำคัญคือต้องหาทางแก้ไขอย่างโปร่งใสและเป็นระบบ เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามไปถึงความปลอดภัยและมูลค่าของคอนโด โดยแนวทางหลัก ๆ มีดังนี้
1. ตรวจสอบและเปิดเผยข้อมูลการเงินลูกบ้านสามารถขอให้นิติบุคคลอาคารชุด เปิดเผยรายงานการเงิน เพื่อดูว่าเงินกองทุนถูกใช้ไปกับอะไร และยังเหลืออยู่เท่าไร การเปิดข้อมูลอย่างโปร่งใสจะช่วยสร้างความเข้าใจและความร่วมมือจากลูกบ้าน
2. เรียกประชุมใหญ่เพื่อหามติร่วมกันตามกฎหมายอาคารชุด หากต้องการใช้หรือเก็บเงินเพิ่ม จะต้องผ่านการประชุมใหญ่ลูกบ้าน การมีพื้นที่พูดคุยจะช่วยให้ทุกฝ่ายเข้าใจเหตุผลและตัดสินใจร่วมกัน เช่น จะเก็บเงินพิเศษ จะเพิ่มอัตราค่าส่วนกลางกับเจ้าของร่วม หรือจะจัดทำแผนซ่อมบำรุงระยะยาว
3. เก็บเงินกองทุนเพิ่มเติมหรือเรียกเก็บพิเศษในบางกรณี นิติบุคคลอาจต้องเรียกเก็บเงินกองทุนเพิ่มเติมจากลูกบ้านทุกยูนิต หรือเก็บเป็นเงินพิเศษเฉพาะครั้งเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งแม้ไม่ใช่เรื่องที่ลูกบ้านอยากเจอ แต่ก็เป็นวิธีที่ทำให้มีงบประมาณเพียงพอในการซ่อมใหญ่
4. บริหารจัดการงบประมาณอย่างเข้มงวดบางครั้งนิติบุคคลอาจปรับแผนการใช้จ่ายให้รัดกุมขึ้น เช่น ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น งดใช้ลิฟต์บางตัวในช่วงที่ไม่ค่อยมีคนใช้ ลดจำนวนพนักงานชั่วคราวบางส่วน หรือใช้มาตรการประหยัดพลังงานทั้งน้ำและไฟ วิธีนี้จะช่วยชะลอการใช้เงินกองทุนและเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินในระยะสั้น
5. ปรับปรุงการบริหารและแผนระยะยาวเมื่อเจอปัญหาแล้ว สิ่งสำคัญคือการวางระบบใหม่ เช่น การเก็บเงินกองทุนเพิ่มในอัตราที่สมเหตุสมผล การใช้โปรแกรมบัญชีนิติบุคคลอาคารชุด เพื่อทำให้การเงินโปร่งใส และการคาดการณ์ค่าใช้จ่ายซ่อมใหญ่ล่วงหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้เงินกองทุนหมดซ้ำอีกในอนาคต
แม้การที่เงินกองทุนใกล้หมดจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่หากมีการตรวจสอบความโปร่งใส และร่วมกันหาทางลดค่าใช้จ่าย ควบคู่ไปกับการวางแผนระยะยาว ก็สามารถจัดการได้โดยไม่กระทบคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของลูกบ้าน


อ่านมาถึงตรงนี้ คุณก็คงเข้าใจแล้วว่าเงินกองทุนคอนโด (Sinking Funds) เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การอยู่อาศัยมีความมั่นคงและปลอดภัย หากมีการวางแผนและเก็บสะสมอย่างเพียงพอ อาคารก็จะสามารถซ่อมแซมใหญ่ได้ทันเวลา ไม่ต้องให้ลูกบ้านรับภาระจ่ายเงินก้อนโตแบบกะทันหัน และยังช่วยรักษามูลค่าทรัพย์สินให้น่าอยู่เสมอ
สิ่งที่ท้าทายคือการบริหารจัดการเงินกองทุนให้โปร่งใสและตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นจุดที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท ดังนั้น โปรแกรมบริหารคอนโดของ Silverman จะเข้ามาช่วยให้นิติบุคคลบริหารเงินกองทุนได้อย่างเป็นระบบ ทั้งการตรวจสอบยอดเงิน การวางงบประมาณ และการสื่อสารกับลูกบ้านอย่างชัดเจน
เมื่อนิติบุคคลและลูกบ้านมีข้อมูลที่ตรวจสอบได้ตลอดเวลา ความมั่นใจในการใช้ชีวิตในคอนโดก็จะมากขึ้น เงินกองทุนจึงไม่ใช่เพียงภาระที่ต้องจ่าย แต่คือการลงทุนเพื่อความปลอดภัยและอนาคตของทุกคนในโครงการ